24 กรกฎาคม 2568
นักเดินทางที่มีประสบการณ์หลากหลายและบาลานซ์การทำงานกับชีวิตส่วนตัวได้
บางคนอาจจะกำหนดเป้าหมายตั้งแต่ระยะสั้น ระยะกลาง หรือกระทั่งระยะยาว ซึ่งก็คงจะแตกต่างกันไป วันนี้ขอพาทุกคนมาแลกเปลี่ยนเป้าหมายการใช้ชีวิตของอีกหนึ่งผู้หญิงเก่งของกลุ่มตรีเพชร ที่กำหนดจุดหมายปลายทางของชีวิตไปที่การมีความสุขและความสมดุล (Balance) ผ่านหลักคิดของการอยู่กับปัจจุบัน และการทำทุกๆ อย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างเต็มที่
--- “ณ ปัจจุบันที่ทำอยู่ มันดีและมีความสุขอยู่แล้ว”
--- “สิ่งอื่นๆ ที่อยากเรียนรู้ก็คง เอาให้ทันยุคทันสมัย จะได้คุยกับน้องๆได้ ไม่อยากมีช่องว่างระหว่างวัย”
--- “เกิดมาหนึ่งชีวิต เราต้องทำให้ครบทุกอย่าง”
พี่อรนะคะ อร รักติประกร รองผู้จัดการทั่วไป บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด (TIS) ปัจจุบันได้รับโอกาสดูแลหลากหลายฝ่ายมาก ทั้งผู้อำนวยการสำนักงานประชาสัมพันธ์ (Public Relations Office), สำนักงานนโยบายอุตสาหกรรม (Industrial Policy Office) นอกจากนี้ยังเป็นกรรมการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ลาว จำกัด ด้วย
ตั้งแต่จบโทมา พี่ก็เริ่มทำงานที่ตรีเพชรเป็นที่แรกเเละที่เดียว ตั้งแต่ปี 2545 ตำแหน่งที่สมัครและทำตอนแรก ก็คือฝ่ายสื่อสารการตลาด (Marketing Communication Department) พอทำได้ 5 ปี จนปี 2550 พี่หมู (ปนัดดา เจณณวาสิน) ชวนมาทำงานประชาสัมพันธ์ (PR) ช่วงแรกรู้สึกกังวลอยู่เหมือนกัน เพราะเป็นงานที่ต้องใช้ไหวพริบ วาทะศิลป์ และมนุษยสัมพันธ์ที่ดี และเราก็ไม่รู้จักใครเลย แต่สุดท้ายเราก็ใช้ความจริงใจในการเข้าหาสื่อมวลชน ซึ่งก็คิดว่าเราทำได้ดี
ชีวิตการทำงานได้รับโอกาสให้ได้ทำ Task Force เยอะมาก ซึ่งเราชอบ งานแรกคือ “Woman Task Force” เป็นงานที่ต้องคิดผลิตภัณฑ์ อุปกรณ์แต่งรถ หรือกิจกรรมที่ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้าผู้หญิง ถือเป็นครั้งแรกที่ได้นำทีม (Team Leader) สมาชิกจะเป็นการรวมตัวของน้องๆ จากหลายฝ่าย สนุกสนานมาก เราได้รู้ว่าคนตรีเพชรฯ เก่งๆ ทั้งนั้น และยังมีอีกหลายมุมของการทำงานที่เราไม่รู้ เป็นการแลกเปลี่ยนที่ดีมาก
ต่อไปคือ “Bangkokian Task Force” ช่วงที่เราจะเปิดตัว All-New Isuzu D-Max ในปี 2554 ตอนนั้นเรากำลังจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ มาจับตลาดในกรุงเทพฯ มากขึ้น โดยเน้นที่ 2 กลุ่มหลัก คือ พนักงานโรงงาน และพนักงานออฟฟิศ สำหรับพนักงานโรงงาน เราไปสำรวจตลาดแล้วพบว่ากิจกรรมที่เขาชื่นชอบมากๆ คือ ร้องเพลง เลยลองจัดประกวดดูแล้วให้คนที่โรงงานมาเชียร์ คนที่ชนะ จะได้ไปลงหนังสือพิมพ์บันเทิงด้วย ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จดีเลย อีกกลุ่มคือกลุ่มคนเมืองที่เป็นพนักงานออฟฟิศ เราใช้คอนเซ็ปต์ “Isuzu D-Max... to the Max” ครอบไปในทุกกิจกรรมที่จะทำกับลูกค้ากลุ่มนี้ในวันสำคัญต่างๆ เช่น วันแม่ กับกิจกรรม “All-New Isuzu D-Max Loves Mom... to the Max” หรือวันวาเลนไทน์ ใช้ชื่อ “All-New Isuzu D-Max Sweet... to the Max”
อีกอันคือ Task Force ที่ไปทำกับบริษัทในกลุ่มตรีเพชรคือ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุลิสซิ่ง จำกัด (TIL) ตอนนั้นเขายังไม่มีทีมการตลาด เราไปช่วยเขาทำ Corporate Identity (CI) ตั้งทีมการตลาดรวมถึงแนวทางในการสื่อสาร สนุกดีเหมือนกันงานนี้ ดีใจที่ปัจจุบันทีม TIL เก่งมาก สามารถทำทุกอย่างเองได้แล้ว ทีม TIS ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาเท่านั้น
ในส่วนของงานปัจจุบัน นอกจากจะดูแลงานประชาสัมพันธ์ที่ประเทศไทยแล้ว ยังช่วย ASEAN Project ดูแลงานประชาสัมพันธ์ที่ประเทศลาวและกัมพูชามาตั้งแต่ปี 2559 และเริ่มดูแลการตลาดของลาวเพิ่มเติมตั้งแต่ปี 2562
งานแรกที่ประทับใจที่สุดคือ การมีส่วนร่วมในงานเปิดตัวรถปิกอัพ “Isuzu D-Max” ทั้ง 3 เจนเนอเรชั่น เห็นผลิตภัณฑ์ที่ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์เราเติบโตมาเรื่อยๆ โดยการเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2545 เป็นปีที่พี่เข้าทำงานพอดี ปกติเวลาเปิดตัวรถใหม่จะต้องเก็บความลับกันเป็นอย่างดี ไม่มีใครพูดเรื่องนี้กับพี่เลย เพราะเรายังเป็นน้องใหม่มาก เห็นแต่พี่ๆเขาเก็บเอกสารอะไรสักอย่างใส่ลิ้นชักแล้วล็อคด้วยกุญแจแน่นหนามาก ช่วงเย็นที่มีประชุมกัน เขาก็จะบอกให้เรากลับบ้านก่อน ตอนนั้นเรายังเป็นส่วนเล็กมากๆ จำได้เลยว่ารถเปิดตัววันที่ 22 พฤษภาคม 2545 พี่เพิ่งเริ่มงานวันที่ 2 พฤษภาคมเอง พี่ได้รับหน้าที่ให้ช่วยงานบางส่วนในวันนั้นด้วย งานนี้ทำให้พี่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของบริษัทเรา
เรื่องที่สองคือการทำการตลาดและการประชาสัมพันธ์สำหรับตลาดลาวและกัมพูชา ที่ประเทศไทย แบรนด์อีซูซุ เรายิ่งใหญ่อลังการมาก แต่ถ้าไปที่นู่น เราคือ ศูนย์เลย ต้องเริ่มใหม่ ตั้งแต่การแนะนำตัว เพราะเขาไม่รู้จักอะไรเกี่ยวกับแบรนด์เราเลย เราต้องคิดว่าทำยังไงให้เขารู้จักแบรนด์เรามากขึ้น ทุ่มเทแรงกาย แรงใจไปเยอะมาก ซึ่งทุกวันนี้ก็เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
อีกงานคือ โครงการ “อีซูซุให้น้ำ...เพื่อชีวิต” ถือเป็นงานที่ยากมาก เพราะบริษัทเรามีโครงการเพื่อสังคม (CSR) เยอะมาก ต้องคิดหนัก ว่าจะทำอะไรในวาระครบรอบ 55 ปี (ในปี 2555) ดี ตอนนั้นมีคนเสนอว่าให้ทำโครงการเกี่ยวกับน้ำ เพราะชื่ออีซูซุเป็นชื่อแม่น้ำ สุดท้ายก็จบที่โครงการนี้ เป็นโครงการที่ไม่ใช่แค่กลุ่มอีซูซุที่ภูมิใจ แต่เป็นโครงการที่สาธารณชนทุกคนชื่นชม รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เพราะเป็นโครงการที่ยั่งยืน อยู่ได้จริง ทำได้จริง และทำให้คุณภาพชีวิตของคนดีขึ้นจริง เราได้รับรางวัลมากมาย ซึ่งเป็นผลพลอยได้ที่เราไม่ได้คาดหวัง บางทีเราได้คุยกับคนที่ไม่รู้จักอีซูซุมากนัก แต่กลับรู้จักโครงการนี้ เราก็รู้สึกภูมิใจ
จริงๆไม่ค่อยกังวลอะไรเลยตั้งแต่ทำงานมา เพราะรู้ว่าเรามีทีมเวิร์คที่ดี ความหมายคือ มีเจ้านายสนับสนุน น้องๆ ในทีมมีความสามารถที่หลากหลาย คอยมาเติมเต็มกันและกันได้ดี ทำให้รู้สึกว่า ไม่มีวันไหนที่ตื่นขึ้นมา แล้วไม่อยากมาทำงานเลย
อีกอย่างคือพี่ชอบที่ได้ทำงานใหม่ๆด้วย อาจจะไม่ได้เป็นคนชื่นชอบความท้าทายขนาดนั้นนะ เพราะรู้สึกว่าเราแค่เตรียมการให้ดี คิดก่อนว่าอะไรสามารถจะเกิดขึ้นได้บ้าง แล้วเราจะรับมือยังไง มันก็จะผ่านไปได้ไม่ยากเย็นอะไร
อย่างแรกเลยคือ ตั้งสติ คนของเรามีศักยภาพสูง ปรับตัวเก่ง และพร้อมที่จะเจอทุกอุปสรรค ยังชอบบอก HR อยู่เลยว่า เราเลือกคนมาเก่งนะ ทุกคนมีความสามารถที่หลากหลาย เติมเต็มกันได้ดี และค่อนข้างจะยืดหยุ่น อย่างความสามารถรอบด้าน เนี่ย ใช่เลย เราต้องทำได้ทุกอย่าง
อย่างตอนทำกระเช้าปีใหม่เพื่อเดินสายสื่อมวลชนที่ลาว เราต้องสั่งของไปจากเมืองไทยแล้วไปนั่งจัดกระเช้ากันเอง เพราะที่นั่นจะไม่มีสำเร็จรูปแบบที่เราต้องการ ก็พยายามเรียนรู้กันเอง จนทำได้ อีกอย่างคือ ถ้าทีมเราดี ทุกอย่างก็จะดีตามไปด้วย ตรงนี้ถือเป็นจุดแข็งของคนตรีเพชรฯ เลย
ไม่ค่อยมีคติประจำใจอะไร แค่รู้สึกว่า เวลาเราได้รับมอบหมายให้ทำอะไรก็ตาม แค่ต้องทำให้เต็มร้อยเท่านั้นเอง พยายามบริหารเวลาให้ดี ถ้าเราประสบความสำเร็จในงาน แต่ทุกอย่างรอบข้างเราล้มเหลวหมด อันนี้ไม่ใช่เป้าหมายในชีวิตของเราแล้ว เราไม่ได้อยากจะเติบโตเป็นผู้บริหารยิ่งใหญ่ของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แค่อยากมีชีวิตที่มีความสุข (Happy Life) เราให้ความสำคัญกับครอบครัวที่หมายถึงคุณพ่อ คุณแม่ สามีและลูก รวมถึงเพื่อนๆ เพราะถ้าไม่มีพวกเขาก็ไม่มีเราเหมือนกัน
คิดว่าสิ่งสำคัญในการทำงานคือเรื่องของการสื่อสาร (Communication) หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นในระดับไหนก็ตาม เพราะบางเรื่องเราสื่อสารไป สามารถเป็นประโยชน์กับคนอื่นได้ อีกอย่างคือการสร้างทีม เวลาสื่อสารกันในทีมเรา เราไม่อยากให้น้องๆ คิดว่า คนนี้เป็นเจ้านาย ไม่กล้าพูดด้วย เราจะให้เขากล้าคิด กล้าพูดมากกว่า เพราะเชื่อว่าเราไม่ได้เก่งไปทุกอย่าง เราชอบที่ได้แลกเปลี่ยนกันมากกว่า
ตั้งแต่เด็ก พี่เป็นคนทำงานแบบไม่เกี่ยง งานแดดรับ งานห้องแอร์ก็รับ พี่เป็นคนแบบนั้น เขามีงานจัดบอร์ด จัดเอกสารอะไรพี่ก็ทำหมดนะ พี่ทำให้รู้ โตขึ้นมา พี่จะได้ตอบน้องๆ ได้ว่าควรทำยังไง พี่ได้รับโอกาสเป็น ครูฝึกสอน (Instructor) ขับรถหญิงคนแรกด้วย สถานที่ที่ไปขับจะทุลักทุเล ยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหนก็ไป จนหลังๆ สังขารไม่อำนวย มีน้องๆ ไปแทน ซึ่งการทำงานแบบไม่เกี่ยงเนี่ยแหละที่ช่วยทำให้เรามีความสามารถรอบด้าน (Well-roundedness) อีกทั้งพี่พยายามติดตามข่าวสาร ทั้งเกี่ยวกับเศรษฐกิจ รถยนต์ และเรื่องทั่วไปตลอด จะได้รู้ว่าโลกไปถึงไหนแล้วเราตามทันโลกอยู่ไหม หรือคู่แข่งทำอะไรอยู่ เวลาไปเจอคนที่หลากหลาย เราจะได้หาหัวข้อมาคุยได้ไม่เบื่อ
พูดถึงสมาชิกในทีมแล้วกัน อันแรกเลย ต้องเป็นคนเปิดกว้าง ยอมรับในการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ๆ อย่างเราเอง เป็นคนที่อยู่ในยุคเปลี่ยนผ่าน ระหว่างอนาล็อก (Analog) กับดิจิทัล (Digital) ก็ต้องยอมรับว่าบางเรื่องเราไม่ได้จริงๆ แต่ก็ไม่อายที่จะถามน้อง อย่างฟังก์ชัน สตอรี่ใน IG (Instagram Story) ตอนแรกๆ พี่ไม่เข้าใจเลยว่าเล่นกันทำไม น้องๆก็บอกว่า อ๋อ เล่นเพื่ออยากแชร์ช่วงเวลานี้เฉยๆ รูปไม่ต้องสวยอะไรขนาดนั้นหรอก พี่ก็ อะๆ โอเค ลองเล่นก็สนุกดีนะ เดี๋ยวนี้ก็เป็นสังคม TikTok ทั้งลูกค้า และแบรนด์ก็ต่างอยู่ในแพลตฟอร์มนี้ เราก็ต้องตามเทรนด์นี้ให้ทัน จะได้ปรับการทำงานให้ทันยุคสมัย
อีกอันคือเรื่องของการแบ่งปันข้อมูล (Information Sharing) ในฐานะที่เราเป็นทั้งเจ้านายแล้วก็ลูกน้อง ยิ่งเราทำงานตรงนี้ด้วย บางเรื่องเราต้องรู้ไว้ เพื่อเมื่อถึงสถานการณ์ที่จำเป็นแล้ว เราจะสามารถหยิบข้อมูลตรงนี้มาใช้ได้
พี่มองว่า ตัวเรามีลูกบวกกับชอบความทันสมัยด้วย ชอบอะไรที่อัปเดตตลอด เพราะเราไม่รู้ว่า เวลาเราอยู่ที่เดิม เราคิดกลยุทธ์อะไรมันจะวนอยู่ที่เดิม หรือมันหลุดออกนอกกระแสไปแล้ว เพราะถ้าเราอยากได้อะไรที่ทันใจลูกค้า เราก็ต้องก้าวให้ทันโลก บางอย่างก็เรียนรู้จากน้องๆเด็กรุ่นใหม่รอบตัวนี่แหละ
ตั้งแต่ปี 2021 พี่ได้มาดูแลสำนักงานนโยบายอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นความท้าทายครั้งใหญ่และการก้าวออกจาก Comfort Zone เพราะเป็นการเปลี่ยนจากงานกลุ่มการขายและการตลาดสู่การกำหนดนโยบายอุตสาหกรรมต่างๆ ร่วมกับภาครัฐ แม้จะเป็นงานที่แตกต่าง แต่พี่ก็รู้สึกว่าเราได้แลกเปลี่ยนแนวคิดกับน้องๆ ในทีม ในขณะที่พี่นำความรู้เรื่องการบริหารทีมมาใช้ น้องๆ ในทีมก็ช่วยเสริมความรู้ในเนื้องานให้ ช่วงที่พี่เข้ามารับหน้าที่ตรงนี้เป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่านสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ จากยุคสันดาปภายในสู่ยานยนต์ยุคใหม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่ท้าทายและน่าติดตามอย่างใกล้ชิด ความรู้จากเรื่องนโยบายอุตสาหกรรมนี้ ยังสามารถนำมาใช้กับการทำงานในส่วนของการประชาสัมพันธ์ได้อีกด้วย
พี่เชื่ออย่างหนึ่งว่า ถ้าพี่เป็นแบบไหน น้องก็จะเป็นแบบนั้น ทั้งเรื่องแนวคิดและการปฏิบัติงาน ฉะนั้นเราต้องทำให้เป็นตัวอย่างในส่วนของการปฏิบัติงาน และถ่ายทอดแนวคิดให้น้องๆ เสมอว่า พี่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ตลอดไป ถ้าพี่ไม่อยู่ตรงนี้ก็ต้องมีคนทำได้แทนพี่ จะไม่มีการกั๊ก บอกน้องๆ ทุกอย่าง เพราะทุกคนก็ต้องเติบโตขึ้นมา แล้วเราจะอยู่ตรงนี้ตลอดไปหรอ ไม่ใช่นะ อนาคตเราก็ต้องเกษียณไป หรือบางทีเราไม่ได้แก่ตาย เพราะถ้าแก่ตายมันยังมีจังหวะถ่ายงานได้ แต่ถ้าอยู่ดีๆ แล้วไปเลย แล้วคนอื่นจะ ‘ฉันทำไม่ได้’ แบบนี้หรอ ไม่ใช่นะ ทุกคนก็ต้องพร้อมเสมอ
พี่ชอบหาอะไรใหม่ๆ ทั้งชีวิตส่วนตัวแล้วก็การทำงาน รวมทั้งทางโลกและทางธรรมด้วย เห็นเป็นแบบนี้ แต่ก็เป็นมนุษย์ที่ใฝ่หาธรรมะนะ ที่บ้านสอนให้ใช้ชีวิตเต็มที่ในทุกๆด้าน เห็นแบบนี้ก็นั่งสมาธิ สวดมนต์ได้นะ แล้วก็ถ้าใครได้ติดตามพี่ใน Social Media จะเห็นว่าพี่ก็เป็นสายปาร์ตี้ชอบกิน ชอบเที่ยวเหมือนกันเพราะก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ทำให้เราได้เจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ และได้ใช้เวลาร่วมกับคนที่เรารัก
ทุกๆ ปี เราจะเห็นว่ากลุ่มตรีเพชรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เหมือนเราเติบโตขึ้น แต่สิ่งที่เห็นแล้วโดดเด่น คือ การร่วมมือกันไม่ว่าจะต่างฝ่ายหรือต่างบริษัทที่มีมากขึ้น ซึ่งทำให้ทุกฝ่ายได้พัฒนาตัวเอง และไปถึงเป้าหมายได้พร้อมๆ กัน
ในส่วนของบรรยากาศการทำงาน เพื่อนๆ พี่สงสัยมากว่า ทำไมถึงอยู่ที่นี่นานมาก เพราะธรรมชาติของคนทำการตลาดเนี่ย จะขี้เบื่อ จริงๆ คือแค่ชอบบรรยากาศที่นี่แหละ เราทำงานเหมือนครอบครัว-พี่น้อง ทำให้เราทำงานได้อย่างสบายใจ ปล่อยของได้เต็มที่ วิธีการที่เราแลกเปลี่ยนกันในห้องประชุม จะอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลทั้งหมด ไม่มีเรื่องของอารมณ์ (Emotion) มาปะปน ทำให้ออกมาจากห้องแล้วเราไม่ต้องมาโกรธเกลียดกัน และวัฒนธรรมองค์กรของเรา คือ ทีมเวิร์ค (Teamwork) ช่วยให้การทำงานมันไหลลื่น เพราะถ้าต่างคนต่างไป มันจะไม่มีวันที่เราจะเดินไปในทิศทางเดียวกันได้
เราผ่านมาทุกวิกฤต ทุกมรสุม ทุกการเปลี่ยนผ่าน ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการเงิน โควิด การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ สิ่งที่พี่มั่นใจมากคือ บริษัทเราแข็งแกร่ง ผู้บริหารเรามีวิสัยทัศน์กว้าง Direction เราชัดเจน และทีมพร้อมเสมอที่จะก้าวไปด้วยกัน ด้วยศักยภาพของกลุ่มตรีเพชรทั้งด้านความรู้ ความสามารถของพนักงาน การปรับตัวที่ว่องไวเข้าสถานการณ์ การเงินที่เข้มแข็ง การเปิดกว้างให้กับโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ พี่มั่นใจว่ากลุ่มตรีเพชรของเราจะอยู่ยั่งยืนยงอีกไปเป็นร้อยๆปี
ความรู้สึกตอนนี้มันสมบูรณ์มาก ไม่ได้อยากได้ อยากมีอะไรพิเศษแล้วตอนนี้ รู้สึกว่า ณ ปัจจุบันที่ทำอยู่ เป็นอยู่ มันดีและมีความสุขอยู่แล้ว ชีวิตตอนนี้มัน “Happy Life” ในทุกมิติ
สิ่งอื่นๆ ที่อยากเรียนรู้ก็คง เอาให้ทันยุคทันสมัย จะได้คุยกับน้องๆได้ ไม่อยากมีช่องว่างระหว่างวัย อยากให้ทุกคนที่เดินมาคุยกับเราแล้วรู้สึกว่าคุยกับเพื่อน เหมือนที่เราก็อยากคุยกับพี่ที่คุยกันได้ทุกเรื่อง
ตั้งแต่ทำงานตรีเพชรมา ที่นี่เป็น “ดินแดนแห่งโอกาส (Land of Opportunity)” โอกาสให้ทุกคนได้เรียนรู้ มีทั้งการหมุนงาน (Rotation) มี Task Force ต่างๆ อยากให้ไม่กลัวที่จะออกจากพื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone) ของตัวเอง เพื่อที่จะได้เรียนรู้โลกที่มีความรู้และมุมมองหลายๆ อย่าง โลกยุคใหม่ คือโลกของการมีทักษะและความรู้ที่หลากหลาย
อันนี้พี่ก็สอนลูกเหมือนกัน มีคนยืนเรียงกันสิบคน ทำไมถึงต้องเลือกคุณ ก็เพราะคุณต้องมีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนคนอื่น แล้วถ้าในหนึ่งคนมีครบทุกอย่าง ทุกทักษะที่บริษัทต้องการ มันก็เป็นธรรมดาที่บริษัทจะเลือกคนคนนั้น
อยู่ที่นี่ เราไม่ต้องไปเรียนโรงเรียนธุรกิจ (Business School) ที่ไหน ไม่ต้องไปฝึกงานอะไร เพราะกลุ่มตรีเพชร มีครบทุกอย่าง มีพื้นที่ให้เราได้ทำงานจริง
สุดท้ายอยากจะฝากไว้เราทุกคนเหมือนจิกซอว์แต่ละตัวที่เอามาต่อกัน เพื่อให้ประกอบออกมาแล้วเป็นรูปภาพที่สมบูรณ์แบบ ทุกคนต้องช่วยกันเพื่ออนาคตที่สดใสของกลุ่มตรีเพชร
โดย คุณอร รักติประกร